Home Phone Email

Blog

แหล่งรวบรวมข้อมูล ความรู้ บทวิเคราะห์ในแวดวงธุรกิจ  อุตสาหกรรม จากมุมมองนักวิเคราะห์ในสาขาต่างๆ ย่อยง่ายและนำไปต่อยอดให้กับธุรกิจของคุณ

Lastest

เสน่ห์ของน่าน ที่ทำเงินให้นักลงทุน

เมื่อจะมองหาเส้นทางการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในจังหวัดน่าน ควรเริ่มพิจารณาจากจุดเด่นที่ควรนำมาต่อยอดก่อนเป็นอันดับแรก เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา น่าน เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ถูกพูดถึงในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และถูกนำมาเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ ผู้คน ตามเพจรีวิวการท่องเที่ยว อีกเสน่ห์ก็คือการเป็นเมืองที่ใช้ชีวิต Slow Life เนิบๆช้าๆ ซึ่งนับเป็นจุดขายของน่าน ที่ค่อนข้างเหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจได้ตลอดทั้งปี จากสำนักงานสถิติแห่งประเทศไทย จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้าไปเที่ยวจังหวัดน่านปี60 มีนักท่องเที่ยว 737,709 คน ปี61 จำนวน 771,615คน และปี62 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 776,038 คน อีกทั้งสถิติค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย (บาท/คน/วัน) ในปี60 อยู่ที่ 1,530.46บาท ปี61 อยู่ที่ 1,592.90บาท และปี62 เพิ่มขึ้นเป็น 1,634.03 บาท ตามลำดับ พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวมีศักยภาพและยินยอมที่จะใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในน่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในจังหวัดนี้ เพราะด้วยโอกาสทางการค้า รวมทั้งทรัพยากรต่างๆภายในจังหวัดที่เอื้ออำนวย ดังนั้นจะเริ่มดึงสิ่งที่มีอยู่ในน่านมาพัฒนาต่อยอด อย่างแรกเลยคือ วัฒนธรรม ซึ่งน่านยังเป็นเมืองที่ยึดถือประเพณีวัฒนธรรมล้านนาแบบดั้งเดิมที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นได้จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน พบว่ามีหอศิลปวัฒนธรรม ที่จัดตั้งจากอาคารสำคัญหลายอาคาร บวกกับจินตภาพของเมืองยังคงมีความเป็นแบบดั้งเดิมที่ชัดเจน ประกอบกับชุมชนมีความเข้มแข็ง ร่วมกันสร้างบรรยากาศเมืองเก่า เมืองประวัติศาสตร์ และแหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก อีกทั้งน่านยังแฝงไปด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนามายาวนาน เราจึงเห็น วัด ที่มีความวิจิตรงดงามด้วยสถาปัตยกรรมล้านนาอยู่ทั่วทุกมุมเมือง สุดท้ายที่เป็น Highlight ของน่าน อีกทั้งยังเป็นที่นิยมในปี 2021 ก็คือการเที่ยวที่เป็นแบบ Rode trips รวมทั้งจากที่ผู้เขียนสังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่ง คือการไปเที่ยวไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตาม สิ่งที่ผู้คนยุคนี้ต้องมองหา ก็คือร้านกาแฟดีๆสักร้าน เพื่อเป็นจุดพักรถหรือจุดถ่ายรูปเช็คอิน ซึ่งเราสามารถดึงเสน่ห์และนำ Trend เหล่านี้มาสร้างธุรกิจในจังหวัดน่านได้ แต่ด้วยสภาพทางกายภาพและเสน่ห์ที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ทั้งในเมืองหรือชนบท ความต้องการหรือการบริโภคก็จะต่างกันออกไป ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นความท้าทายที่ต้อง Research ว่ากลุ่มลูกค้า สภาพแวดล้อม ค่านิยม รวมทั้งการหาวัตถุประสงค์การเข้าร้านกาแฟของคนเมือง คนชนบท และนักท่องเที่ยวแตกต่างกันอย่างไร ต้องเป็นร้านแบบใดถึงจะได้รับความนิยม ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยในการวางแผนทำธุรกิจร้านกาแฟในจังหวัดน่านได้  

Read More »

ทำไมต้องรู้ Market Size ก่อนทำธุรกิจ?

ทำไมต้องรู้ Market Size ก่อนทำธุรกิจ? ธุรกิจแต่ละธุรกิจ มีวิธีก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ต่างกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า ธุรกิจมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมี Detail แยกย่อยออกไปอีก ดังนั้นการที่จะเริ่มทำธุรกิจผู้ลงทุนจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องรู้ข้อมูลทางการตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง เพราะการที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจสักหนึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจในตลาดเลยอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ถ้าเข้าใจเรื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ การที่จะเป็นนักธุรกิจมืออาชีพเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ทำไมก่อนเริ่มธุรกิจต้องรู้ ขนาดตลาด หรือที่เรียกกันว่า Market Size ต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่า Market Size คืออะไร Market Size คือ การมองขนาดของตลาดโดยรวมว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อไปได้เพียงใด หรือความต้องการของผู้บริโภคในตลาดมีอยู่มากน้อยเพียงใด และที่สำคัญเลยคือต้องรู้ว่าขนาดตลาดกว้างพอที่จะทำกำไรให้ธุรกิจมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ขนาดตลาด หรือ Market Size ยังเป็นตัวกำหนดรายได้ ความได้เปรียบในการแข่งขัน กลยุทธ์ทางธุรกิจ และแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจทั้งสิ้น การให้ได้มาซึ่งขนาดตลาด ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ที่ปรึกษาด้านการทำวิจัยตลาดและธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงจากการทำธุรกิจให้ต่ำที่สุด แล้วถ้าถามว่าเราจะได้อะไรจากการรู้ Market Size ทำไมต้องรู้ ต้องเข้าใจ และนำไปใช้ก่อนทำธุรกิจ ผู้เขียนจะสรุปให้ได้เข้าใจง่ายๆ คือ การรู้ Market Size ทำให้รู้ว่าตลาดนี้ใหญ่พอที่จะลงทุนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งปัจจัยที่กำหนดขนาดของตลาด ประกอบไปด้วย ลักษณะของสินค้าที่รวมไปถึงลักษณะของสินค้า การบริการ สี ขนาด และตราสินค้า รวมไปถึงการสื่อสารทางการตลาด การจัดจำหน่าย ซึ่งหมายถึง ถ้าสามารถขนส่งสินค้าจากมือผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคด้วยระบบขนส่งในระยะเวลาที่สั้น รวมไปถึงถ้าการสื่อสารดีก็ทำให้การตกลงเจรจาซื้อขายกันสะดวกรวดเร็ว ทำให้ Market Size ขยายกว้างขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าเราจะได้เงินจากการลงทุนในตลาดนี้มากน้อยแค่ไหน เหมือนเป็นแนวทางการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับธุรกิจ สามารถเห็นอัตราการเติบโตของธุรกิจที่คำนวณและวัดเป็นตัวเลขได้ นับเป็นข้อมูลสำคัญกับนักลงทุน เพราะแสดงถึงความเป็นไปได้ของธุรกิจ ว่าธุรกิจนี้ควรที่จะลงทุนไหม ซึ่งสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การคำนวณตัวเลข แต่เป็นการหาที่มาของข้อมูลนั้นๆ ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญการตลาดที่มีความรู้มีทักษะและมีประสบการณ์มากพอสมควรมาช่วยวิเคราะห์ ทำให้รู้ Market Structure ว่าตลาดสินค้านั้นๆ มีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด และเพื่อให้ทราบว่าตลาดนี้ โตแบบ Cash Cow หรือ Star หรือ Question Marks หรือ Dogs ตามโมเดล BCG Matrix

Read More »

การตัดสินใจที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์

การตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ต้องอาศัยทั้งเหตุและผล รวมไปถึงความรู้สึกที่มีต่อสิ่งสิ่งนั้น แต่ถ้าในเชิงธุรกิจจะเป็นการประยุกต์ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ในที่นี้ก็คือข้อมูลทางการตลาด ในปี 2021 ถ้ายังคงยึดการตลาดแบบเดิมธุรกิจก็ไม่สามารถยืนหยัดในตลาดได้นาน เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปในแต่ละปี ที่ทำให้ทัศนคติของผู้คนเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าคิดจะเล่นในตลาดยุคนี้คงต้องหาจิ๊กซอว์ตัวใหม่ที่จะยังคงเติมให้เต็มเหมือนเดิม แต่ต้องเป็นสีใหม่ ลวดลายใหม่ และต้องไม่เคยมีในตลาดมาก่อน จิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่พูดถึงก็คือการทำ Market Research หรือการวิจัยตลาด ที่เป็นศาสตร์ระหว่างการตลาดและวิทยาศาสตร์มารวมไว้ด้วยกัน หรือทำความเข้าใจง่ายๆ ก็คือเป็นตัวช่วยให้เข้าใจความคิด ความรู้สึกที่แท้จริงของลูกค้าที่มีต่อสินค้า และตราสินค้า รวมถึงเป็นส่วนที่ขยายให้เห็นภาพรวมทั้งตลาดมากขึ้น เพื่อให้ทราบว่าคุณค่าธุรกิจของเรามีผลต่อตลาดมากน้อยแค่ไหน และจะสามารถพัฒนาเพิ่มเติมให้ดีขึ้นได้จากจุดไหนบ้าง การทำ Market Research จำเป็นอย่างมากที่ผู้วิจัยต้องเข้าใจวัตถุประสงค์การวิจัยให้แน่ชัดก่อน ว่าต้องการข้อมูลแบบใดมาใช้ในการวิเคราะห์ เพราะการเก็บข้อมูลในแต่ละแบบจะนำมาซึ่งข้อมูลที่ต่างกัน โดยทั่วไปแล้วการเก็บข้อมูลจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือวิจัยขั้นปฐมภูมิ เป็นการเข้าไปเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างนั้นๆโดยตรงด้วยตัวเอง อาจจะเป็นการใช้วิธีสอบถาม สัมภาษณ์ สำรวจ หรือสังเกตการณ์ แต่การทำวิจัยประเภทนี้ต้องอาศัยเวลาและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่จะทำให้ได้ข้อมูลที่ค่อนข้างรายละเอียด และวิจัยขั้นทุติยภูมิ ก็คือการใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วหรือนำข้อมูลจากแหล่งอื่นมาวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฯลฯ แต่ข้อมูลที่นำมาใช้ต้องน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล วิธีการ Market Research ที่ได้ข้อมูลเชิงลึกและมีประสิทธิผลมากที่สุด ซึ่งก็คือการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยาก เพราะผู้สัมภาษณ์ต้องควบคุมประเด็นที่ต้องถาม อีกทั้งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ แต่วิธีการนี้อาจนำมาซึ่งคำตอบที่ไม่ได้คาดหวังและอาจเป็นประโยชน์ต่อการวิจัย แต่ถ้าเป็นการวิจัยเชิงปริมาณข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลตัวเลขที่สามารถอธิบายในเชิงสถิติได้ เป็นวิธีที่เป็นแบบแผน เพราะชุดแบบสอบถามทุกชุดจะต้องเหมือนกันถึงจะนำมาใช้วิเคราะห์ได้ จากข้อมูลที่ได้กล่าวมา จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการวิจัยตลาดถึงเป็นวิธีที่หลายๆธุรกิจไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเล็กหรือใหญ่ start-up ต้องเข้าใจและนำมาใช้เป็นตัวช่วยตัดสินใจทางธุรกิจ เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เห็นถึงจำนวนคู่แข่งในตลาด การทำงานในองค์กรของคู่แข่ง เทรนด์ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ขนาดของตลาด กลุ่มผู้ซื้อ ความต้องการของผู้ซื้อ และสถานที่ที่ผู้ซื้อจะไปซื้อ รวมไปถึงข้อมูลทางเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อนำมาเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือแนวความคิดใหม่ๆ โดยที่มีความเสี่ยงน้อยลง   บทความโดย : ยุพาภร พรมขรยาง – Research Associate

Read More »

สิ่งที่มีก็ดีอยู่แล้ว แค่กล้าคิด และกล้าต่อยอด

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าไทยเป็นประเทศที่ติดอันดับเมืองน่าเที่ยวกันมานานแล้ว ด้วยการที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน และด้านการท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งทำเงินให้คนในประเทศค่อนข้างสูง อีกทั้งความเป็นเมือง civilized ทางวัฒนธรรม และประเพณีประจำท้องถิ่น กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศได้ค่อนข้างสูง จะเห็นได้จากดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวปี 2019 ของ World Economic Forum ไทยถูกจัดอันดับว่าไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจท่องเที่ยวเป็นลำดับที่ 31ของโลก โดยเฉพาะปัจจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ลำดับที่ 10 ของโลก นับได้ว่าเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรที่ทรงคุณค่าแก่การรักษา และนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างอาชีพให้คนในประเทศได้ ซึ่งในแต่ละภูมิภาคก็จะมีวัฒนธรรม ภูมิปัญญา การใช้ชีวิตตามลักษณะภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ด้วยเสน่ห์ที่ต่างกันนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในแต่ละท้องถิ่นได้อย่างมหาศาล ซึ่งหากดูจากสถิติการท่องเที่ยวและกีฬาปี 2021 จะเห็นได้ว่าสามอันดับภูมิภาคที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่างชาติไปมากที่สุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,234,067 คน รองลงมาเป็นภาคตะวันตก 1,984,230 คน และภาคเหนือ 1,447,344 คน แต่มาดูรายได้กลับพบว่าภาคใต้มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด 7,544 ล้านบาท รองลงมาเป็นภาคเหนือ 5,873 ล้านบาท และภาคตะวันตก 5,562 ล้านบาท  จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่าภาคเหนือมีความน่าสนใจอย่างหนึ่งเลยคือ จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวติด TOP 3 ของประเทศ ซึ่งถ้านึกถึงภาคเหนือคงหนีไม่พ้นเมืองหลักอย่างเชียงใหม่ที่ได้รับความนิยมจากชาวไทยและชาวต่างชาติมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองทำให้หลายจังหวัดเริ่มตื่นตัวและพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดมากขึ้น น่านเป็นอีกหนึ่งในเมืองรองที่ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวสูง เห็นได้จากรายได้ในปี 2019 ที่เพิ่มขึ้น 34,630 ล้านบาท อัตราการขยายตัว ร้อยละ 1.77 และรายได้ต่อคนต่อปี 78,156 บาท มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น จากปี 2018 ประมาณ 3,492 บาท แสดงถึงประชากรในจังหวัดจะมีอำนาจในการซื้อเพิ่มมากขึ้น หรือนำเงินออกมาใช้จ่ายในชีวิตประวันมากขึ้น (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2562 จากที่กล่าวมาผู้เขียนมองว่าเป็นโอกาสในการที่จะเข้าไปลงทุนประกอบกิจการในน่าน ซึ่งการตัดสินใจต้องอาศัยปัจจัยสำคัญหลายองค์ประกอบ ที่เป็นจุดเด่นที่ควรต่อยอด และจุดด้อยที่ควรพัฒนา ที่สำคัญเลยคือทรัพยากรที่จะเป็นส่วน Support ที่ดีเหมาะแก่การเอาเงินไปลงทุน

Read More »

Qual & Quant ต่างกันอย่างไร

ที่เขียนประเด็นนี้ขึ้นมาเนื่องจากว่า เบรนฟีลด์ ได้รับคำถามบ่อยมากๆเกี่ยวกับสองคำนี้คือ quantitative และ quantitative ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มักจะมีคนถาม เนื่องจากอาจจะไม่มีใครเข้าใจ หรือรับฟังสารเพียงด้านเดียว ความเข้าใจเพียงสั้นๆเท่านั้น Qual หรือเรามักจะเรียกกันในวงการนักวิจัยว่า “ควาล” ย่อมาจากคำว่า Qualitative หรือแปลว่า คุณภาพ  หรือจำง่ายๆ รากทรัพย์ Quality  และ Quan หรือ “ควานท์ ”  แปลว่า ปริมาณ หรือเรามักจะเรียกว่า Quantity ซึ่งก็แปลว่าปริมาณ ได้เช่นกัน จริงๆ แล้วทั้งสองคำนี้ไม่ใช่วิธีการหาคำตอบ เพียงแต่เป็น ลักษณะของข้อมูลที่เราจะได้รับหรือคาดว่าจะได้รับหลังจากการเก็บข้อมูลดิบจากภาคสนาม (fieldwork) นั่นเอง ซึ่งเรามักจะเจอเป็นคำถามแรกๆว่าเราทำแบบไหน ต้องเรียนตามตรงว่าเรา งง กับคำถามเหล่านี้ ในฐานะนักวิจัยแล้วเราทำเก็บข้อมูลให้กับลูกค้าได้ทั้งสองแบบ ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้ามีวัตถุประสงค์ในการศึกษาอย่างไรบ้าง Qualitative เป็นข้อมูลในเชิงคุณภาพที่ทุกคนจำง่ายๆไว้เลยนะคะว่า หากเราต้องการทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นภาพรวมของอุตสาหกรรมนี้ ใครมีบทบาทอย่างไรในอุตสาหกรรมนั้น ๆ หากเน้นความเข้าใจ ความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่ง ความเชื่อ ความศรัทธา พฤติกรรม ก็ต้องใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อนำไปสู่การวางแผนกลยุทธ์ หรือธุรกิจในขั้นต่อไป แต่หากเป็น Quantitative ก็จะเป็นการเก็บในเชิงปริมาณเราต้องการวัดศักยภาพทางการแข่งขันอะไรบ้างอย่างเช่น วัดโดย unit shipment หรือจำนวนการขายในประเทศไทย แต่ละไตรมาสขายได้จำนวนเท่าไหร่ หรือวัดโดย install base เราอยากทราบว่าสัดส่วนของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์วินโดว์กี่ % ก็สามารถวัดได้ ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจถึงความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมที่เราอยู่ได้ นั่นเอง การจะได้คำตอบในลักษณะของข้อมูลนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการศึกษาของลูกค้าแต่ละครั้งว่าต้องการทราบเรื่องใด คาดหวังผลลัพธ์อย่างไร และจะนำผลลัพธ์ไปใช้อย่างไร และนั่นคือเป้าประสงค์แรกของการทำวิจัยตลาดเพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุนแต่ละครั้งและได้ผลลัพธ์ที่สามารถนำไปสู่การใช้งานจริง ที่ไม่ใช่อยู่บนหิ้ง ในครั้งต่อไปเราจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับแล้วเราจะกำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาหรือทำวิจัยตลาดอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับงบประมาณ ไม่มากไม่น้อยเกินไป และที่สำคัญได้ผลลัพธ์ที่ใช้ได้จริง

Read More »

Market Research คืออะไร

หากพูดถึง Market Research เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาบางคนก็อาจจะมีผู้ประกอบการ หรือ บางตำแหน่งที่ให้เสียงสะท้อนกลับมาว่า ไม่รู้จัก…คืออะไร…ทำแล้วได้อะไร…แล้วใช้อย่างไร….ซึ่งยอมรับว่ายากที่หลายคนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะในวิชาเรียนเราไม่มีสาขาวิชานี้เป็นเรื่องเป็นราวซักเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าต้องทำงานวิจัย ต้องทำเล่มส่ง แต่ขั้นตอนการผลิตนั้นยังดูคลุมเคลือ บางคนเหมารวมว่าเป็นวิชาสถิติใช่หรือไม่ บางคนว่าเป็นสังคมศาสตร์ใช่ไหม วิจัยตลาด หรือ Market research เป็นสหวิชาที่ผสมผสานองค์ความรู้ทั้งด้านศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ สถิติ ตัวเลข) และศิลป์ (สังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์) เข้าด้วยกันซึ่งทั้งสองศาสตร์นี้มีวิธีการเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันแต่จะอธิบายออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน หากเกิดความขัดแย้งกันก็สามารถอธิบายว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?  เช่น ขนาดของตลาดโน๊ตบุคในประเทศไทยโตขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หากอ่านข้อมูลทั่วๆไปก็คิดว่าโตขึ้น 30% แล้วยังไงต่อ เรามักจะตั้งคำถามว่า โตขึ้นเพราะอะไร มีปัจจัยอะไรหรือไม่ที่ผลักดันให้ตลาดนี้โตขึ้น แล้วแบรนด์ไหนบ้าง ทำไมแบรนด์นั้นถึงโต เห็นไหมละ ว่ามีคำถามสารพัดที่แน่นอนว่าผู้บริหาร หรือนักกลยุทธ์อยากรู้คำตอบ….. เพราะในทุกครั้งเราก็มักจะสงสัยในตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ไม่มีคำอธิบาย แต่พอมีคำอธิบาย คำอธิบายเหล่านั้นกลับดูเป็นวิชาการเกินไป ดูไม่มีข้อมูลเชิงลึกที่เอาไปทำอะไรได้เลย วิจัยตลาดจึงต้องเป็นการศึกษาเพื่อค้นหา (explore) ค้นพบ (invent) เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ หรือเป็นการศึกษาเพื่อยืนยัน (validation) ศึกษาเชิงเปรียบเทียบ (comparison) เพื่อให้เราเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นนั้นๆอย่างถ่องแท้ ลึกมากขึ้น และนำไปสู่การวางแผนใดๆก็ตามที่จะเกิดขึ้นในลำดับต่อไป  

Read More »

Categories

Industry

Law

Business

Digital